หลายองค์กรในประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับยุคที่ Digital Transformation (ดิจิตอล ทรานส์ ฟอร์เมชั่น) ที่เข้ามามีส่วนปฏิวัติสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกแวดวงอุตสาหกรรม ด้วยการมุ่งใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม มาใช้ให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ของกระแสโลกและการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0
ธุรกิจการขนส่งก็เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวเองให้พร้อม เพราะมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การบริหารจัดการเส้นทางเดินรถให้สามารถกระจายสินค้าออกไปยังลูกค้า หรือผู้บริโภคได้ทันเวลา และแม่นยำ ไปพร้อมกับความสามารถในการบริหารต้นทุนการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากความเสียหายของต้นทุนการขนส่งถือเป็นต้นทุนสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบมหาศาลให้กับธุรกิจ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจะทำให้สามารถควบคุมดูแลงานขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้หลักการสำคัญของระบบการขนส่ง คือ “การถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย ถูกต้อง และทันเวลา”
บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์โคคาโคล่า แบรนด์เครื่องดื่มระดับโลก ผู้มี ประสบการณ์ด้านการขนส่งและกระจายสินค้าทั่วประเทศยาวนานมากกว่า 50 ปี ที่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทชั้นนำด้านโลจิสติกส์ เมื่อถึงยุคที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อการแข่งขันทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ไทยน้ำทิพย์ได้มองหาเครื่องมือหรือโซลูชั่นที่จะช่วยสนับสนุนการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถ ลดปัญหาการทำงานของพนักงาน และสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมา
นายพิศิษฐ์ ฟองภู่ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-โลจิสติกส์ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด เล่าถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการระบบการขนส่งและกระจายสินค้า ของไทยน้ำทิพย์ ว่าการขนส่งและกระจายสินค้า จากจากโรงงงานผลิตแต่ละภูมิภาค ไปยังศูนย์กระจายสินค้าที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ และกระจายสินค้าต่อออกไปยังร้านค้าหลายแสนราย ทำให้ต้องวางเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาการขนส่งให้เป็นไปตามแผนงานที่วางให้ได้มากที่สุด แต่ยังการขาดระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพ จึงมีแนวคิดปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การเดินหน้าปรับปรุงพัฒนาระบบควบคุมติดตามการขนส่งและกระจายสินค้า เราได้เริ่มเฟ้นหาระบบที่มีจากทั่วโลก แต่กลับพบว่าระบบสำเร็จรูปไม่มีความพอดีและยืนหยุ่นเข้ากับไทยน้ำทิพย์ บางระบบก็มีขนาดใหญ่เกินไป และบางระบบราคาสูงมากแต่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญพบว่า รูปแบบการวางระบบที่แตกต่างจากลักษณะงานของบริษัท เราจึงมีแนวคิดพัฒนาออกแบบระบบที่เข้ากับการใช้งานจริงของเราเอง”
การเปลี่ยนแปลงองค์กรด้านเทคโนโลยีไม่สามารถลงมือทำได้เพียงลำพังแต่จำต้องอาศัยพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมกันพัฒนา ไทยน้ำทิพย์จึงได้จับมือกับพันธมิตร NOSTRA Logistics (นอสต้า โลจิสติกส์) ภายใต้การพัฒนาโดยบริษัท โกลบเทค จำกัด ด้วยเล็งเห็นศักยภาพด้านเทคโนโลยี และความพร้อมของทีมพัฒนาของ NOSTRA ในการปรับฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่น ปรับตัวและออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมและสามารถปรับให้เข้ากับพื้นฐานของธุรกิจ โดยหลังจากติดตั้งโซลูชัน GPS ติดรถ และ POD Application ของ NOSTRA ทำให้บริษัทฯ มีเครื่องมือที่จะใช้ติดตามในแต่ละวัน ดูความคืบหน้าของทีมงาน หรือคาดการณ์ระยะเวลาในการทำงานได้แม่นยำ และเมื่อเจออุปสรรค สามารถวางแผนแก้ไขได้ทันการณ์ ลงลึกไปถึงการประเมินประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ทรัพยากร ส่งผลให้ทำงานได้ดีขึ้น รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สามารถที่จะรู้ได้ว่าเส้นทางที่จะไปเป็นอย่างไร ตำแหน่งที่จะนำทางไปยังร้านค้า แทนที่จะใช้การจดจำตำแหน่งหรือเส้นทาง อีกทั้งเมื่อองค์กรมีการเติบโตขึ้น รับพนักงานใหม่เข้ามาก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือนี้ สนับสนุนการติดตามไปทุกที่ที่มีลูกค้าอยู่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
สิ่งสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดผลสำเร็จ อีกประการหนึ่งคือการสื่อสารกับผู้ใช้ นั่นคือ พนักงานกระจายสินค้ากว่าพันคน ผู้เป็นกำลังสำคัญซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นเก่าที่ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี แต่คนกลุ่มนี้ต้องเรียนรู้และใช้งาน องค์กรต้องสื่อสารออกไปให้ชัดเจนว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ไม่ใช่ “การจับผิด” แต่เข้ามา “ช่วยสนับสนุน” เหมือน “กระจกมองหลัง” ทำให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้องค์กรเติบโตและแข็งขันต่อไปได้ในอุตสาหกรรม
ด้านรองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-โลจิสติกส์ พิศิษฐ์ ฟองภู่ เล่าถึงแผนการด้านการพัฒนาการขนส่งและกระจายสินค้า ในอนาคตของไทยน้ำทิพย์ว่า หลังจากที่มีระบบ Tracking และ Monitoring พัฒนาให้เกิดเส้นทางการปฏิบัติงานของแต่ละทีมงาน ผู้จัดการเขต ภูมิภาค รวมถึงภาพรวมของประเทศได้แล้ว เฟสที่สอง ร่วมกับ NOSTRA ก็คือ Pre – Settlement พัฒนาปิดงานในระบบหลักของไทยน้ำทิพย์ ด้วยการวางระบบที่สามารถตรวจสอบระบบการทำงานและสินค้าได้บนเครื่องมือที่จะออกแบบให้พนักงานใช้ เช่น การนำส่งเงิน ตรวจเช็คสินค้า ส่งสินค้าหรือภาชนะกลับคืนบริษัทฯ เป็นต้น คาดจะนำมาใช้จริงและสำเร็จภายในปี 2561 นี้
“หัวใจสำคัญในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาปรับใช้ในธุรกิจการขนส่ง คือการทำให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่ครอบคลุมระบบโลจิสติกส์ทั้งหมด มุ่งรักษาความแข็งแกร่ง ครองความเป็นที่หนึ่งในตลาด โดยใช้การขนส่งและกระจายสินค้า มุ่งสู่การสร้างความพึงพอใจด้านบริการที่มีประสิทธิภาพ มีศักยภาพบนการแข่งขันด้านต้นทุน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็ว สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า NOSTRA ได้เข้ามามีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคไทยแลนด์ 4.0 และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของธุรกิจ” ผู้บริหารหนุ่มกล่าวทิ้งท้าย
การปรับตัวรับยุค Digital Transformation หากลงมือด้วยตัวเองอาจไม่ดีและรวดเร็วตามทันกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ นับเป็นตัวช่วยสำคัญในการนำองค์กร “ก้าวให้ล้ำ” ในทุกๆ ด้านจนนำไปสู่องค์กรชั้นนำที่พร้อมยืนหยัดแข่งขันอยู่ได้อย่างยั่งยืนในทุกสถานการณ์