บุรีรัมย์ กำลังโด่งดังด้านกีฬา เป็นจังหวัดที่มีความเข้มแข็ง และประสบความสำเร็จจากการนำจุดเด่น จุดขาย ใหม่ๆ ออกมานำเสนอได้อย่างน่าประทับใจ ขณะที่ สุรินทร์ ก็เป็นจังหวัดใกล้เคียงกันที่มีของดีอยู่มาก โดยเฉพาะช้าง พอลองมาคิดดู 2 จังหวัดนี้นับว่ามีพลังอย่างมาก ทั้งเป็นดินแดนแห่งช้าง และมีสนามช้างอันอลังการ แต่เรื่องราวการมาเที่ยว บุรีรัมย์-สุรินทร์ คงไมได้จบแค่นี้ แถมวันนี้ ยังหอมฉุยกว่าเดิม
ไม่นานมานี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดตัวเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอาหาร I-san Coolinary สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางสู่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำเสนอประสบการณ์เที่ยวกินอย่างมีสไตล์ เข้าถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมไอเดียสร้างสรรค์ ประเดิมเส้นทาง “วัฒนธรรมหอมฉุย ตะลุยถิ่นภูเขาไฟ” เชื่อมโยงการท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์
โดยในทริปนี้ คณะสำรวจเส้นทางจาก ททท. พร้อมด้วยคณะสื่อมวลชน และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ได้ร่วมเดินทางเป็นระยะเวลา 3 วัน 2 คืน นับเป็นเส้นทางที่ผสมผสานการท่องเที่ยวกับวัฒนธรรมการกินที่หลากหลาย พร้อมด้วยแหล่งวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์
เริ่มต้นวันแรก ยามเช้า ที่ “ร้านกินนี่ข้าวมันไก่” ร้านข้าวมันไก่ที่มีชื่อเสียงของ อ.สะตึก จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน ก่อนที่จะออกเดินทางสู่ “อุทยานดอกไม้ เพ ลา เพลิน” เพื่อชมความงามของดอกไม้เมืองหนาว และไม้ดอกไม้ประดับที่สวยงาม โดยในวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีตลาดน้ำเปิดให้เดินกันเพลินๆ ซึ่งมีทั้งของกินและของที่ระลึกให้ซื้อหา ใครที่สนใจงาน DIY ทางเพ ลา เพลิน ก็มีให้ทดลองฝีมือ โดยในวันนี้ คณะของเราได้ทดลองทำผ้ามัดย้อม จากจินตนาการของตัวเองอีกด้วย
มื้อเที่ยงวันนี้ ฝากท้องกันที่ “เพ ลา ภิรมย์” ร้านอาหารภายใน เพ ลา เพลิน ได้ลิ้มอาหารอีสานฟิวชั่น จากวัตถุดิบท้องถิ่น อาทิ ไข่เจียวกุ้งจ่อม อุไก่บ้าน และขาหมูเพลาเพลิน ที่การันตีด้วยแชมป์ประกวดขาหมูบุรีรัมย์ 2 ปีซ้อน ตบท้ายด้วยไฮศกรีมโฮมเมด จากผลไม้ตามฤดูกาล
จากนั้นก็เดินทางสู่ “ธันเดอร์คาสเซิลสเตเดียม” เข้าชมความอลังการของสนามฟุตบอลที่มีการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) พลาดไม่ได้กับการซื้อของที่ระลึกจากทีม “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”
ไม่ไกลจากตัวเมืองบุรีรัมย์ คือที่ตั้งของ “วนอุทยานเขากระโดง” สถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และ “พระสุภัทรบพิตร” พระพุทธรูปองค์ใหญ่คู่เมืองบุรีรัมย์ และเป็นจุดชมวิวเมืองบุรีรัมย์ในมุมสูงได้อย่างสวยงาม เขากะโดงยังเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว ปัจจุบันมีสะพานข้ามปากปล่องภูเขาไฟให้เดินเล่นอีกด้วย ลงจากเขากระโดง ก็แวะเช็คอินในร้านกาแฟแห่งใหม่ “The Tower” ซึ่งเป็นอาณาจักรของโชว์รูม Honda BigWing Buriram ซึ่งมีทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มให้บริการในบรรยากาศสบายๆ
ตกเย็น เราออกเดินทางสู่ร้าน “เชฟพลัส คาเฟ่ แอนด์ บิสโทร” ร้านอาหารไทย-ยุโรป โดย เชฟพลัส-พัฒนา ผ่องบุพกิจ หนุ่มบุรีรัมย์ทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ชื่นชอบในการทำอาหาร ซึ่งรับวัตถุดิบพื้นบ้านที่ปลอดสารเคมี มาแปรรูปเป็นเมนูต่างๆ ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือ กุ้งจ่อมผัดทรงเครื่อง ซึ่งใช้กุ้งจ่อมจาก อ.ประโคนชัย มาปรุงผสมกับหมูสับ ทำให้ได้กุ้งจ่อมรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น นอกจากนั้นยังมีเมนูที่น่าสนใจ อาทิ อาทิ ซี่โครงหมูย่างสมุนไพร เสิร์ฟบนเขียงไม้มะขาม คอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่วลาวา เสิร์ฟบนแผ่นหินเก็บความร้อน
เช้าวันที่ 2 เรามุ่งหน้าสู่ อ.โนนสุวรรณ เพื่อสัมผัสถึงเอกลักษณ์ของ “บ้านซับสมบูรณ์” ซึ่งเป็นดินแดนที่มีน้ำแร่ผุดขึ้นกลางหมู่บ้าน และไหลลงสู่พื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน รวมทั้งบึงเลี้ยงปลาที่ชาวบ้านบอกว่า เป็นบึงที่มีน้ำแร่จากสายธารใต้ดินมาผสม ทำให้ปลาที่เลี้ยงไว้มีความสด หอม เนื้อหวาน รวมทั้งการนำน้ำแร่ไปรดพืชผัก รวมทั้งเห็ดโคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้กับชาวบ้านเป็นอย่างดี เนื่องจากได้น้ำที่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ ทำให้ผลผลิตงอกงามและรสชาติดี ปัจจุบันเห็ดโคนญี่ปุ่นของบ้านซับสมบูรณืมีการส่งขายที่วังน้ำเขียวและตลาดไท ส่วนเห็ดที่ไม่ได้ขนาด ก็จะนำมาแปรรูปเป็นแหนมเห็ด น้ำพริกเห็ด และ คุ้กกี้เห็ด มื้อเที่ยงวันนี้จึงอิ่มเอมกับอาหารที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ไม่ไกลกันมากคือที่ตั้งของ “บ้านอุบลสามัคคี” อีกหนึ่งกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันปลูกผักปลอดสารเคมี โดยมีธารน้ำแร่ใต้ผืนดินหล่อเลี้ยง ที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้การเกษตรพอเพียง มีผู้ใหญ่บ้านที่เข้มแข็ง คอยดูแลให้ชาวบ้านได้มีกิน มีใช้ มีขาย มีเก็บ ภายในหมู่บ้านยังมีป่าศักดิ์สิทธิ์กว่า 100 ไร่ ซึ่งเป็นป่าสงวน มีความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้ และของป่า รวมทั้งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพ
ช่วงบ่ายแก่ๆ เรามุ่งหน้าสู่ อ.ประโคนชัย เพื่อพบกับของดีของเมืองบุรีรัมย์ นั่นคือ “กุ้งจ่อม” โดยได้เข้าชมกระบวนการผลิตกุ้งจ่อมที่ร้านแม่พะเยาว์ พร้อมเลือกซื้อของฝากจากกุ้งจ่อม ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ “ร้านบ้านพีท” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก เพื่อลิ้มลองเมนูกุ้งจ่อมที่นำมาประยุกต์เป็นหลนกุ้งจ่อม พร้อมกับเมนูอีกหลากหลาย
เช้าวันที่ 3 มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุรินทร์ เมืองแห่งช้าง ซึ่งมีของดีอย่าง “ข้าวหอมมะลิ” โดยมีศูนย์เรียนรู้เรื่องข้าวอย่างครบวงจรอยู่ที่ “ซแรย์ อทิตยา” บริเวณอ่างเก็บน้ำอำปึล ต.เทนมีย์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ หนึ่งในโครงการพิเศษใน พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ที่น้อมนำแนวพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการทรงงานเรื่อง “บริการรวมที่จุดเดียว” หรือ “One Stop Service” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาดำเนินงาน เข้ามาแล้วจะได้เรียนรู้เรื่องข้าวแบบเจาะลึก และเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ผ่านนิทรรศการฐานการเรียนรู้ 6 ฐาน ในอาณาเขตที่กว้างขวาง ยังมีการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ การเลี้ยงสัตว์ พร้อมทั้งมีร้านอาหารและที่พักให้บริการด้วย
ก่อนที่มุ่งหน้าสู่มื้อกลางวัน เราได้แวะเข้าตัวเมืองบุรีรัมย์ เพื่อเช็คอินกับสีสันใหม่ จากกราฟฟิตี้เมืองช้าง บริเวณพิพิธภัณฑ์ช้างสุรินทร์ ไม่ไกลกันเป็นที่ตั้งของ “ร้านกุนเชียง 5 ดาว” ร้านขายของฝากเจ้าดังอันเก่าแก่ เพื่อแวะช้อปของฝาก อาทิ กุนเชียงหมู กุนเชียงไก่ กุนเชียงปลา หมูยอ หมูหยอง หมูแผ่น กะละแม ฯลฯ
จากนั้นได้เดินทางไปที่ “แซตอม ออร์แกนิคฟาร์ม” ตำบล เมืองลีง อำเภอ จอมพระ สุรินทร์ ฟาร์มสเตย์ในแหล่งผลิตข้าวอินทรีย์พื้นเมืองหลากหลายสายพันธุ์ ดำเนินการโดย “สุแทน สุขจิตร” หนุ่มสุรินทร์รักบ้านเกิด ที่มุ่งมั่นในการสืบสานพันธุ์ข้าวพื้นเมืองอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในวิถีเกษตรอินทรีย์ สถานที่แห่งนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง อาทิ การเรียนรู้การทำไวน์จากข้าว เรียนรู้เรื่องผักและผลไม้ปลอดสารเคมี รับประทานอาหารพื้นบ้านจากวัตถุดิบในพื้นที่ ซึ่งในโอกาสนี้ คณะเดินทางได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน “ชุดข้าวห่อใบตอง” อันประกอบด้วย ข้าวสวยออร์แกนิกส์ น้ำพริกเผาปลาย่าง ปลาทูทอด ไข่เจียว และผักสดพื้นบ้าน รวมทั้งได้ชมการทำและชิม “ลาบปลาตองกราย” พร้อมเลือกซื้อข้าวและผลิตภัณฑ์จากข้าว นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถติดต่อขอเข้าชมได้ที่ โทร.06-1165-1848
ปิดท้ายด้วยความอิ่มอร่อยที่ “ตั้งถาวรฟาร์ม” ต.ยะวึก อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ แหล่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ได้มาตรฐาน GAP ประกอบด้วยเมลอนกว่า 10 สายพันธุ์ แตงโม 2 สายพันธุ์ การปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ และ แปลงดอกไม้ตามฤดูกาล มีร้านอาหารที่ให้บริการทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ผักและผลไม้สด ภายใต้บรรยากาศอันสวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมโรงเรือนการเกษตรได้ฟรี เปิดให้บริการทุกวัน 07.00-17.00 น. (เสาร์-อาทิตย์ ปิด 18.00 น.)
นับเป็น 3 วัน 2 คืน ที่อิ่มเอมใจ ได้รู้ ได้เห็น ความน่าสนใจในแง่มุมที่หลากหลาย โดยเฉพาะความน่าทึ่งของแหล่งวัตถุดิบที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่น่ามาเยือน
(สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานสุรินทร์ ถ.เทศบาล1 ต.ในเมือง อ.เมืองสุรินทร์ สุรินทร์ โทร. 0-4451-4447-8)