จากการหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีสู่ “เกาะปันหยี” หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “หมู่บ้านกลางน้ำ” แหล่งท่องเที่ยวระดับโลกของเมืองไทยมานานนับศตวรรษ ตั้งอยู่กลางอ่าวพังงา จังหวัดพังงา บวกรวมกับความรักความผูกพันที่ชาวชุมชนมีต่อเกาะปันหยี จึงทำให้ชาวบ้านหมู่บ้านกลางทะเลแห่งนี้ ต่างมุ่งมั่นในการพัฒนาเกาะปันหยีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของวิถีชุมชนที่เรียบง่ายอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับแคมเปญ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

โดยชาวบ้านและเยาวชนในเกาะปันหยีได้นำความรู้จากการเข้าร่วมโครงการอบรมด้านต่าง ๆ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การอบรมภาษาอังกฤษ การทำสินค้าแฮนด์เมด การจัดการการท่องเที่ยว การกำจัดขยะ การดูแลสิ่งแวดล้อม และท้องทะเล มาใช้ในการพัฒนาชุมชนของเกาะปันหยีให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ล่าสุด เกาะปันหยีได้มีการใช้ “พลังแสงอาทิตย์” หรือ “โซลาร์เซลล์” ทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากการปั่นไฟด้วยน้ำมันแบบเดิม ซึ่งช่วยลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันลงอย่างมาก และยังลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมากจากคราบน้ำมันจากโรงปั่นไฟไหลลงทะเลด้วย ซึ่งได้นำร่องติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกที่โรงเรียนเกาะปันหยี โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท นอร์ติส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ผู้นำนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนในเมืองไทย ด้วยกำลังขนาด 3,500 วัตต์ สามารถประหยัดพลังงานจากการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 316 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 บาทต่อเดือน

สำหรับการท่องเที่ยวเกาะปันหยี ส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมแบบเช้าเย็นกลับใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หากต้องการสัมผัสหมู่บ้านกลางทะเลอย่างแท้จริง ควรจะพักค้างคืนแบบโฮมสเตย์ เพื่อดื่มด่ำกับวิถีชาวเกาะและมนตร์เสน่ห์ของชาวเกาะปันหยีที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ และขนบธรรมเนียมประเพณีมุสลิมแบบดั้งเดิม ที่พักบนเกาะปันหยีมีให้เลือกไม่มาก อาทิ เกาะปันหยีโฮมสเตย์ เจมส์บอนด์บังกะโล ปันหยีบังกะโล เป็นต้น แต่รับรองว่า แต่ละแห่งตั้งอยู่ริมทะเล ทำให้ได้สัมผัสวิวทะเลอันดามันอย่างใกล้ชิด และได้เริ่มต้นทริปที่เกาะปันหยีพร้อมกับแสงแรกของยามเช้าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก…

เช้าวันใหม่บนเกาะปันหยี เราจะได้เห็นเรือเล็กเริ่มออกจากฝั่งเพื่อไปเก็บปลาหรือดูแลปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชัง ในขณะที่เด็ก ๆ ออกจากบ้านไปโรงเรียน พร้อมกับรอยยิ้มและอัธยาศัยไมตรีของชาวบ้านที่มีให้เห็นได้ตลอดทั้งวัน ระหว่างวันมีแลนด์มาร์คจุดเช็คอินต่าง ๆ บนเกาะปันหยีมากมายให้ไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุกปันหยี สะพานไม้ร้าน มัสยิด และ “สนามฟุตบอลลอยน้ำ” แห่งเดียวในประเทศไทย และเป็น 1 ใน 3 สนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลก ที่ได้รับการโหวตจากสื่ออังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2554 สร้างขึ้นจากความตั้งใจของเด็ก ๆ ในชุมชน จนพัฒนาเป็นทีม “ปันหยีเอฟซี” รวมไปถึงร้านค้าต่าง ๆ บนเกาะให้ได้ช้อปของฝากกันอย่างจุใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอย ผ้าบาติก สร้อย กำไล แหวน ทำมาจากหอยมุก

เช้าวันใหม่บนเกาะปันหยี เราจะได้เห็นเรือเล็กเริ่มออกจากฝั่งเพื่อไปเก็บปลาหรือดูแลปลาที่เลี้ยงไว้ในกระชัง ในขณะที่เด็ก ๆ ออกจากบ้านไปโรงเรียน พร้อมกับรอยยิ้มและอัธยาศัยไมตรีของชาวบ้านที่มีให้เห็นได้ตลอดทั้งวัน ระหว่างวันมีแลนด์มาร์คจุดเช็คอินต่าง ๆ บนเกาะปันหยีมากมายให้ไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น และ “สนามฟุตบอลลอยน้ำ” แห่งเดียวในประเทศไทย และเป็น 1 ใน 3 สนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลก ที่ได้รับการโหวตไข่มุกปันหยี ,สะพานไม้ร้าน ,มัสยิด จากสื่ออังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2554 สร้างขึ้นจากความตั้งใจของเด็ก ๆ ในชุมชน จนพัฒนาเป็นทีม “ปันหยีเอฟซี” รวมไปถึงร้านค้าต่าง ๆ บนเกาะให้ได้ช้อปของฝากกันอย่างจุใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอย ผ้าบาติก สร้อย กำไล แหวน ทำมาจากหอยมุก

ยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวรอบเกาะ หรือที่เรียกว่า “ตะหลายเรือ” โดยการล่องเรือไปรอบอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกเสียงว้าวได้ตลอดเส้นทาง ได้แก่ ภูเขาเขียน ชมภาพเขียนโบราณกว่า 1,500 ปี ถ้ำลอด เกาะกลางทะเลที่นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือแคนูลอดผ่านเข้าไปได้ เขาตาปู หรือ James Bond Island เกาะโขดหินขนาดเล็กตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล โลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดัง James Bond และ เขาพิงกัน ภูเขาสองลูกที่แนบชิดติดกัน หรือจะไปสัมผัสวิถีชาวประมงกับทริป “ออกเลเขเรือ” ชมป่าชายเลน ต้นโกงกาง ตื่นตาตื่นใจกับปลาตีน และการเก็บหอยโล่ ก่อนจะกลับมาปิดท้ายวันด้วยเมนูเด็ดอาหารพื้นเมืองอย่าง ใบโกงกางชุบแป้งทอด และแกงหอยโล่ พร้อม ๆ กับชมพระอาทิตย์ตกขนานผืนน้ำสุดสายตาที่สวยงามไม่แพ้กับที่ใด